เลือกห้อง

ความหมายของ วันสุกด...
 
แบ่งปัน:
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

ความหมายของ วันสุกดิบ

5 กระทู้
1 ผู้ใช้
0 Reactions
329 เข้าชม
กระทู้: 52
บุคคลทั่วไป
หัวข้อเริ่มต้น
(@ไม่ระบุชื่อ 2)
สมาชิก2
เข้าร่วม: 2 ปี ที่ผ่านมา

ส่วนใหญ่ทั้งสุกทั้งดิบก็คือข้าวปลาอาหารที่จะถวายพระนั่นแหละ ข้าวปลาอาหาร ตลอดจนกระทั่งขนมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไปโดยประเพณีหรือเปล่า เมื่อถึงเวลา คนโบราณจะถวายพระก่อน

ถ้าหากว่าเราศึกษาประวัติพระอัญญาโกณฑัญญเถระ จะปลูกข้าวท่านก็ทำบุญ จะเกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ จะขนข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ ส่วนพระสุภัททเถระไปทำบุญตอนขนข้าวขึ้นยุ้งทีเดียว

พระอัญญาโกณฑัญญเถระจึงเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่บรรลุอรหันต์ในพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม ส่วนพระสุภัททเถระเกือบจะไม่ทัน คือถ้าพระอานนท์ใจแข็งหน่อยเดียว ไม่ให้เข้าพบ ก็เป็นอันว่าไม่ต้องบรรลุกัน แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่านี่ก็คือปัจฉิมสักขิสาวก ผู้ที่จะบรรลุธรรมด้วยคำสอนของพระองค์ท่านเป็นรูปสุดท้าย จึงอนุญาตให้เข้าไปฟังธรรมแล้วก็บรรลุได้

คนโบราณถึงได้กลัว..กลัวว่าถ้าจะต้องน่าหวาดเสียวขนาดพระสุภัททเถระก็คงจะเสี่ยงเกินไป ดังนั้น..ไม่ว่าอะไรที่เป็นผลผลิต เกิดจากไร่จากสวนชุดแรกก็มักจะถวายพระก่อน

ในช่วงที่ข้าวตั้งท้อง ยังเป็นน้ำนมอยู่ ก็ทำข้าวยาคูถวายพระ ในช่วงที่ข้าวตกรวงกำลังแก่ ก็ทำข้าวเม่าถวายพระ เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทำบุญข้าวใหม่ถวายพระก่อน เราจะเห็นว่าคนโบราณนั้น ทำอะไรอยู่กับบุญอยู่กับกุศลตลอดเวลา ดังนั้น..เขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงอยู่ในลักษณะของการ "อยู่เย็นเป็นสุข" เพราะสิ่งที่ตนกระทำเอง

แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันนี้ อย่างลุงเชิญ บุญรังษี คหบดีของจังหวัดจันทบุรี ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นเพื่อนของหลวงลุงสุนทร สุธมฺมสุนฺทโร ลุงเชิญปฏิบัติธรรมแล้วติดขัดอยู่หลายปี ไปต่อไม่เป็น พอดีปีนั้นกระผม/อาตมภาพไปเยี่ยมหลวงลุงสุนทร ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี ๒๕๓๗ เพราะว่าหลวงลุงสุนทรท่านป่วยแล้วไปรักษาตัวที่บ้านเชิงเขาคิชฌกูฎ เมื่อไปถึง ปรากฏว่าหลวงลุงท่านเริ่มแข็งแรงดีแล้ว ก็บอกว่า "หลวงพี่..ไปเยี่ยมเพื่อนผมหน่อย เขาเป็นนักปฏิบัติธรรม" แล้วก็ให้ลูกชายพาขึ้นรถไปที่บ้านสวนบางกะจะ

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

ที่มาจากเว็บบอร์ดวัดท่าขนุน

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9400

4 ตอบกลับทั้งหมด
กระทู้: 52
บุคคลทั่วไป
หัวข้อเริ่มต้น
(@ไม่ระบุชื่อ 2)
สมาชิก2
เข้าร่วม: 2 ปี ที่ผ่านมา

เมื่ออยากจะถวายพระ ก็นึกถึงแต่หลวงพี่เท่านั้น" ก็เลยวิ่งเสียหลายร้อยกิโลเมตรเอามาถวาย กำลังใจลักษณะอย่างนี้ กระผม/อาตมภาพฉันทุเรียนของเขาไม่ลง..! ก็คือเป็นกำลังใจที่มุ่งแต่บุญแต่กุศล อยู่ในลักษณะอย่างนั้น

มีญาติโยมอีกท่านหนึ่งก็อยู่ในลักษณะนี้ ก็คือถามปัญหาแล้วกระผม/อาตมภาพแก้ไขให้เขาได้ ควักเงินหมดตัวเลยถวายมา กระผม/อาตมภาพบอกว่า "โยม..คิดให้ดีก่อนว่ายังมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ไหม ?" พวกเราตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายจะรู้ว่า ทำบุญกับวัดท่าขนุน โดยเฉพาะทำบุญกับเจ้าอาวาสนี่ยากมาก ทำเยอะก็โดนบ่น..!

มีโยมท่านหนึ่งขอถวายเงินจำนวนหลายล้านบาท เพื่อร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่หน้าตัก ๒๑ ศอกหน้าวัดท่าขนุน เฉพาะองค์พระก็ประมาณ ๓ ล้านบาท รวมตัวอาคารด้วยอะไรด้วยก็หมดไป ๑๗ ล้านกว่าบาท เขาปวารณาถวาย อาตมภาพบอกยังไม่รับ กลับไปคิดให้ดีก่อนหนึ่งอาทิตย์ ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน หรือว่าคนในครอบครัวรอบข้างไม่มีความจำเป็นจะใช้เงินก้อนนี้ แล้วค่อยมาถวาย

เขาหายไปหนึ่งอาทิตย์แล้วกลับมา ยืนยันว่า "ไม่มีความจำเป็นครับ เงินก้อนนี้เป็นเงินที่สามารถถวายทำบุญได้" ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพถึงได้รับเอาไว้ ก็แปลว่าถ้าหากว่าจะทำบุญกับวัดท่าขนุน ถือเงินมาส่งเดช อาจจะโดนไล่กลับบ้านไป แล้วก็โดนไล่ไปหลายรายแล้ว..!

โดยเฉพาะพวกที่อยู่ ๆ ก็แบกผ้าป่ามา ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว อยู่ ๆ ก็ไปทำผ้าป่า แล้วก็แบกมาถึงวัด บอก "มึงจะไปถวายวัดไหนก็ไป วัดนี้ไม่รับ เพราะว่ากูไม่ได้สั่ง..!" เพราะว่ากำลังใจของญาติโยมที่ประกอบไปด้วยบุญด้วยกุศลอย่างเดียว บางทีก็อยู่ในลักษณะ "อธิโมกขสัทธา" เป็นศรัทธาที่ไม่มีปัญญาประกอบ เกิดความศรัทธาขึ้นมาก็ทุ่มเทหมดตัว บางทีก็ไม่ได้นึกว่าตนเองและคนรอบข้างจะเดือดร้อนหรือเปล่า ?

การทำบุญในลักษณะนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญ พระองค์ท่านบอกว่าอามิสทาน คือทานที่เป็นข้าวของเงินทองนั้น แม้ว่าสำคัญ แต่ว่าธรรมทานสำคัญกว่า ก็คือการให้ธรรมเป็นทาน

ในเมื่อญาติโยมถึงเวลาเกิดศรัทธาขึ้นมา ไม่ใช่เราเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชีหรือฆราวาสอยู่วัด ก็รีบไปยุให้เขาถวายเยอะ ๆ ประมาณว่าถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นจาตุมหาราช ถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นยามา ถวายเท่านี้จะได้อยู่ดุสิตบุรีเฟส ๔ กูจะบ้า..!

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น ท่านให้ทานเพื่อตัดความโลภ ดังนั้น..การทำทานจึงไม่ใช่การถวายทีละมาก ๆ แต่เป็นการทำบ่อย ๆ ทำน้อยแต่บ่อยครั้ง กำลังใจจะตัดละได้ง่ายกว่า เพราะว่าของไม่มาก เราไม่หวง เมื่อทำไปหลาย ๆ ครั้ง สภาพจิตเริ่มเข้มแข็งขึ้น มีอำนาจเหนือความโลภ ก็จะถวายได้มากขึ้น บ่อยขึ้น แต่ก็ต้องมีปัญญาประกอบด้วยว่า ถวายไปแล้วตัวเราและคนรอบข้างจะเดือดร้อนหรือเปล่า ? ยังมีบุคคลที่จำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองตรงนี้หรือไม่ ? เพราะว่าสูงกว่านั้นขึ้นไปยังมีการรักษาศีล ซึ่งอานิสงส์มากกว่าการทำทานเป็นร้อยเท่า สูงกว่าศีลก็ยังมีภาวนา ที่อานิสงส์มากกว่าการรักษาศีลเป็นร้อยเท่า..!

ในเรื่องของการทำบุญจึงต้องถือตามแบบโบราณ เพราะเขามีทำทั้งปี คือทำบ่อย ๆ ทำบ่อยไม่ใช่ทำมาก เพราะถ้าทำมาก จิตใจเกิดความหวงแหนขึ้นมาก็ทำไม่ได้ ทำน้อยแต่บ่อยครั้ง อานิสงส์ของทานส่งผลให้เรามีฐานะร่ำรวยมั่นคงในภายหน้า

รักษาศีล อานิสงส์ช่วยให้เราเป็นผู้มีรูปสวย มีจิตใจดีงาม เจริญภาวนา อานิสงส์ทำให้เรามีปัญญามาก เพราะฉะนั้น..มีโอกาสให้ทานเราให้ มีโอกาสรักษาศีลเรารักษา มีโอกาสภาวนาเราปฏิบัติ จึงจะเรียกได้ว่าทำตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

__________________
 

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

ที่มาจากเว็บบอร์ดวัดท่าขนุน

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9400

ตอบ
กระทู้: 52
บุคคลทั่วไป
หัวข้อเริ่มต้น
(@ไม่ระบุชื่อ 2)
สมาชิก2
เข้าร่วม: 2 ปี ที่ผ่านมา

โพสโดย: @ไม่ระบุชื่อ

ส่วนใหญ่ทั้งสุกทั้งดิบก็คือข้าวปลาอาหารที่จะถวายพระนั่นแหละ ข้าวปลาอาหาร ตลอดจนกระทั่งขนมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไปโดยประเพณีหรือเปล่า เมื่อถึงเวลา คนโบราณจะถวายพระก่อน

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

ที่มาจากเว็บบอร์ดวัดท่าขนุน

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9400

ตอบ
กระทู้: 52
บุคคลทั่วไป
หัวข้อเริ่มต้น
(@ไม่ระบุชื่อ 2)
สมาชิก2
เข้าร่วม: 2 ปี ที่ผ่านมา

โพสโดย: @ไม่ระบุชื่อ

ประวัติพระอัญญาโกณฑัญญเถระ จะปลูกข้าวท่านก็ทำบุญ จะเกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ จะขนข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ ส่วนพระสุภัททเถระไปทำบุญตอนขนข้าวขึ้นยุ้งทีเดียว

พระอัญญาโกณฑัญญเถระจึงเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่บรรลุอรหันต์ในพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม ส่วนพระสุภัททเถระเกือบจะไม่ทัน คือถ้าพระอานนท์ใจแข็งหน่อยเดียว ไม่ให้เข้าพบ ก็เป็นอันว่าไม่ต้องบรรลุกัน แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่านี่ก็คือปัจฉิมสักขิสาวก ผู้ที่จะบรรลุธรรมด้วยคำสอนของพระองค์ท่านเป็นรูปสุดท้าย จึงอนุญาตให้เข้าไปฟังธรรมแล้วก็บรรลุได้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

ที่มาจากเว็บบอร์ดวัดท่าขนุน

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9400

ตอบ
กระทู้: 52
บุคคลทั่วไป
หัวข้อเริ่มต้น
(@ไม่ระบุชื่อ 2)
สมาชิก2
เข้าร่วม: 2 ปี ที่ผ่านมา

โพสโดย: @ไม่ระบุชื่อ

เราจะเห็นว่าคนโบราณนั้น ทำอะไรอยู่กับบุญอยู่กับกุศลตลอดเวลา ดังนั้น..เขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงอยู่ในลักษณะของการ "อยู่เย็นเป็นสุข" เพราะสิ่งที่ตนกระทำเอง

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

ที่มาจากเว็บบอร์ดวัดท่าขนุน

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9400

ตอบ
แบ่งปัน: